Native App Hybrid App คืออะไร? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจคุณ

หลายธุรกิจมองเห็นโอกาสของการจ้างพัฒนาแอปมือถือธุรกิจของตัวเอง แต่เมื่อลองหาข้อมูลจริง ๆ กลับเจอคำศัพท์ที่ค่อนข้างเทคนิค เช่น Native App และ Hybrid App หลายคนอาจสงสัยว่ามันต่างกันตรงไหน และทำไมบางธุรกิจถึงเลือกแต่ละประเภทแตกต่งกัน การเลือกประเภทของแอปไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันมีผลทั้งต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ ประสิทธิภาพของแอป และกระบวนการดูแลรักษาในระยะยาว

การเข้าใจความแตกต่างและข้อควรระวังจะช่วยให้คุณวางแผนได้ชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่การกำหนดฟีเจอร์หลัก การเลือกเทคโนโลยี ไปจนถึงงบประมาณและเวลาในการพัฒนา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Native App และ Hybrid App อย่างละเอียด พร้อมชี้ข้อควรระวังที่ธุรกิจควรรู้ก่อนเริ่มลงมือ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและตรงกับความต้องการของธุรกิจ

Native App คืออะไร? 

Native App คือแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับระบบปฏิบัติการใดระบบหนึ่ง เช่น iOS หรือ Android ซึ่งหมายความว่าการเขียนโปรแกรมและเครื่องมือที่ใช้จะเฉพาะเจาะจงกับระบบนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การพัฒนาแอปสำหรับ iOS จะใช้ภาษา Swift หรือ Objective-C ขณะที่ Android จะใช้ Kotlin หรือ Java

การสร้าง Native App ทำให้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของอุปกรณ์มือถือได้เต็มที่ เช่น กล้อง, GPS, เซ็นเซอร์, การแจ้งเตือนแบบ push notifications และอื่น ๆ ข้อควรระวังสำหรับธุรกิจคือ หากคุณต้องการให้แอปรองรับทั้ง iOS และ Android จำเป็นต้องพัฒนาแยกสองเวอร์ชัน ซึ่งอาจส่งผลต่อเวลาและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ การอัปเดตและการบำรุงรักษาก็ต้องทำแยกตามแต่ละระบบเช่นกัน

ตัวอย่าง Native App  เช่น LINE, Facebook, Instagram, Grab หรือ Shopee แอปเหล่านี้ถูกพัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับ iOS และ Android ทำให้สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้รวดเร็ว ใช้งานฟีเจอร์มือถือเต็มที่ และแสดงผลได้อย่างลื่นไหล

instagram-app

Native App เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในช่วงที่สมาร์ทโฟนเริ่มได้รับความนิยม โดยเฉพาะตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2007 และ Android เปิดตัวในปี 2008 นักพัฒนาจึงเริ่มสร้างแอปเฉพาะสำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการ เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือได้เต็มที่และตอบสนองการใช้งานของผู้ใช้จนถึงวันนี้ Native App ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับแอปที่ต้องการ ประสิทธิภาพสูง และ ประสบการณ์ผู้ใช้ราบรื่น แอปยอดนิยมหลายตัว เช่น Facebook, Instagram, LINE, Grab หรือ Shopee ยังคงพัฒนาด้วยวิธี Native เพราะสามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือได้ครบ และรองรับผู้ใช้จำนวนมากทั่วโลก

 

Hybrid App คืออะไร?

Hybrid App คือแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นครั้งเดียว แต่สามารถใช้งานได้ทั้งบน iOS และ Android ต่างจาก Native App ที่ต้องพัฒนาแยกตามระบบปฏิบัติการหลัก Hybrid App ใช้เทคโนโลยีเว็บเป็นพื้นฐาน เช่น HTML, CSS และ JavaScript และทำงานร่วมกับ Framework เช่น React Native, Flutter, หรือ Ionic  หลักการทำงานของ Hybrid App คือส่วนของ UI/UX และฟีเจอร์บางส่วนจะรันผ่าน WebView หรือเครื่องมือที่เชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติการ ทำให้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือบางอย่างได้ เช่น กล้อง, GPS หรือ push notifications แต่การเข้าถึงอาจไม่เต็มประสิทธิภาพ

แอปยอดนิยมที่พัฒนาด้วยแนวทาง Hybrid เช่น Spotify, Airbnb, Twitter แอปเหล่านี้ใช้โค้ดชุดเดียวในการทำงานบนทั้ง iOS และ Android ทำให้ทีมพัฒนาประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการสร้างและอัปเดตแอป ถึงแม้ Hybrid App อาจเข้าถึงฟีเจอร์บางอย่างของมือถือไม่เต็มที่เท่า Native App แต่ด้วย Framework รุ่นใหม่อย่าง React Native หรือ Flutter ประสบการณ์การใช้งานก็ใกล้เคียง Native และสามารถรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้ ทำให้ Hybrid App เป็นตัวเลือกที่ธุรกิจหลายประเภทยังคงนิยมใช้

Yuzanar Land on Apple App Store

Yuzanar Land Developed by Digital Agency Bangkok

ตารางสรุปความแตกต่างระหว่าง Native App กับ Hybrid App

หัวข้อเปรียบเทียบ Native App Hybrid App
การพัฒนา พัฒนาสำหรับระบบปฏิบัติการเฉพาะ (iOS หรือ Android) พัฒนาครั้งเดียว รันได้ทั้ง iOS และ Android
ภาษา/เครื่องมือ ใช้ภาษาและเครื่องมือเฉพาะ เช่น Swift, Objective-C, Kotlin, Java ใช้เทคโนโลยีเว็บ เช่น HTML, CSS, JavaScript และ Framework เช่น React Native, Flutter
การเข้าถึงฟีเจอร์มือถือ เข้าถึงฟีเจอร์ของอุปกรณ์เต็มที่ เช่น กล้อง, GPS, เซ็นเซอร์, Push Notification เข้าถึงฟีเจอร์บางส่วน ผ่าน WebView หรือ bridge อาจต้องปรับแต่งเพิ่ม
ประสิทธิภาพ ทำงานเร็ว ลื่นไหล รองรับการใช้งานหนัก ประสิทธิภาพใกล้เคียง Native แต่บางครั้งอาจช้ากว่าเล็กน้อย
การอัปเดตและบำรุงรักษา ต้องอัปเดตแยกตามระบบปฏิบัติการ อัปเดตครั้งเดียวใช้ได้ทั้งสองระบบ
เวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา ใช้เวลาและงบประมาณมาก เนื่องจากต้องพัฒนาสองเวอร์ชัน ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เพราะใช้โค้ดชุดเดียว

Native App พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับระบบปฏิบัติการใดระบบหนึ่ง เช่น iOS หรือ Android ใช้ภาษาและเครื่องมือเฉพาะตัว ทำให้สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือได้เต็มที่และให้ประสิทธิภาพสูง แต่การพัฒนาและอัปเดตต้องทำแยกตามระบบ ทำให้ใช้เวลาและงบประมาณมากขึ้น ในขณะที่ Hybrid App พัฒนาครั้งเดียวแต่รันได้ทั้ง iOS และ Android ใช้เทคโนโลยีเว็บและ Framework เช่น React Native หรือ Flutter ทำให้การอัปเดตและบำรุงรักษาทำได้ง่ายขึ้น และประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่การเข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือบางอย่างอาจต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ทั้งสองแบบมีข้อดีและข้อควรระวังแตกต่างกัน การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ ความสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ และทรัพยากรที่มี

Native app vs hybrid app info-graphic-th

ข้อควรระวังสำหรับธุรกิจเมื่อเลือก Native หรือ Hybrid App 

1.งบประมาณและค่าใช้จ่าย
ธุรกิจควรวางแผนงบประมาณให้เหมาะสมกับประเภทแอป Native App ต้องพัฒนาสองเวอร์ชันถ้าต้องรองรับทั้ง iOS และ Android ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่าย ในขณะที่ Hybrid App ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เพราะใช้โค้ดชุดเดียว แต่ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการปรับแต่งฟีเจอร์บางอย่างให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

2.เวลาในการพัฒนา
Native App ใช้เวลาในการพัฒนานานกว่าเนื่องจากต้องทำแยกตามระบบ ส่วน Hybrid App ลดเวลาในการพัฒนาได้ แต่ทีมงานต้องแน่ใจว่าโค้ดที่เขียนสามารถรันได้ดีทั้งสองระบบและไม่เกิดปัญหาฟีเจอร์บางอย่างทำงานไม่ตรงตามที่ตั้งใจ

3.ฟีเจอร์และประสบการณ์ผู้ใช้
การเลือกประเภทแอปต้องพิจารณาว่าธุรกิจต้องการเข้าถึงฟีเจอร์ของมือถือเต็มที่หรือไม่ Native App เข้าถึงฟีเจอร์ได้ครบและประสบการณ์ผู้ใช้ราบรื่นที่สุด แต่ Hybrid App อาจต้องปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้ฟีเจอร์บางอย่างทำงานได้อย่างเหมาะสม

4.การอัปเดตและบำรุงรักษา
Native App ต้องอัปเดตแยกตามแต่ละระบบ ซึ่งอาจเพิ่มความซับซ้อน Hybrid App อัปเดตง่ายกว่า แต่ต้องมั่นใจว่าโค้ดอัปเดตแล้วทำงานได้ดีทั้งสองระบบ

5.บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชัน
การเลือก Native App ต้องมีนักพัฒนาที่เชี่ยวชาญทั้ง iOS และ Android หรือทีมแยกสองชุด Hybrid App ใช้ทีมเดียวได้ แต่ต้องมีความเข้าใจเทคโนโลยีเว็บและ Framework ที่เลือก

 

สรุป

การเลือกพัฒนาแอปมือถือ Native App และ Hybrid App มีความแตกต่างทั้งในเรื่องการพัฒนา การเข้าถึงฟีเจอร์มือถือ ประสิทธิภาพ และการอัปเดต สำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบการณ์ผู้ใช้ราบรื่นและประสิทธิภาพสูง Native App มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่ก็ต้องเตรียมทรัพยากรและงบประมาณให้เพียงพอ ขณะที่ Hybrid App เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการรองรับหลายระบบพร้อมกัน ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ต้องพิจารณาการปรับแต่งฟีเจอร์บางอย่างให้ตอบสนองผู้ใช้ได้อย่างเต็มที่

ไม่ว่าคุณจะเลือก Native หรือ Hybrid การวางแผนเรื่องฟีเจอร์ งบประมาณ เวลา และจ้างทีมพัฒนาอย่างรอบคอบ จะช่วยให้การพัฒนาแอปประสบความสำเร็จและตอบโจทย์ธุรกิจได้อย่างแท้จริง

 

FAQ คำถามที่พบบ่อย

Q1: Native App และ Hybrid App ต่างกันอย่างไร?

A1: Native App พัฒนาสำหรับระบบปฏิบัติการเฉพาะ เช่น iOS หรือ Android ทำให้เข้าถึงฟีเจอร์มือถือเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูง ส่วน Hybrid App พัฒนาครั้งเดียวแต่รันได้ทั้ง iOS และ Android ใช้เทคโนโลยีเว็บและ Framework ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ฟีเจอร์บางอย่างอาจต้องปรับแต่งเพิ่มเติม

Q2: ธุรกิจแบบไหนควรเลือก Native App?

A2: Native App เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบการณ์ผู้ใช้ราบรื่น การทำงานที่รวดเร็ว และเข้าถึงฟีเจอร์มือถือเต็มรูปแบบ เช่น แอปเกม แอปโซเชียล หรือแอปที่ต้องประมวลผลข้อมูลหนัก

Q3: ธุรกิจแบบไหนควรเลือก Hybrid App?

A3: Hybrid App เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการรองรับหลายระบบพร้อมกัน ลดเวลาและค่าใช้จ่าย เช่น แอปร้านอาหารและเดลิเวอรี แอปอีคอมเมิร์ซ หรือแอปบริการธุรกิจที่ต้องปรับฟีเจอร์บ่อย

Q4: การอัปเดต Native และ Hybrid App แตกต่างกันอย่างไร?

A4: Native App ต้องอัปเดตแยกตามระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ในขณะที่ Hybrid App สามารถอัปเดตครั้งเดียวแล้วใช้งานได้ทั้งสองระบบ

Q5: การเลือกแอปมีผลต่อค่าใช้จ่ายและเวลาอย่างไร?

A5: Native App ต้องใช้เวลาและงบประมาณมากกว่าการพัฒนา Hybrid App เพราะต้องสร้างแยกสองเวอร์ชัน ส่วน Hybrid App ใช้โค้ดชุดเดียว ทำให้ลดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่บางฟีเจอร์อาจต้องปรับแต่งเพิ่ม

 

เปลี่ยนไอเดียธุรกิจของคุณให้กลายเป็นแอปมือถือระดับมืออาชีพกับ Digital Agency Bangkok

Digital Agency Bangkok คือเอเจนซี่ดิจิทัลที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแอปมือถือแบบ Native และ Hybrid สำหรับธุรกิจไทย ทีมงานนักพัฒนามืออาชีพของเรานำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการออกแบบและพัฒนาแอปที่มีฟังก์ชันครบ ใช้งานรวดเร็ว และมอบประสบการณ์ที่ลื่นไหลให้กับผู้ใช้

ไม่ว่าจะเป็น แอป E-commerce, ร้านอาหาร, บริการจัดส่ง หรือ แอปสำหรับการใช้งานภายในองค์กร Digital Agency Bangkok สามารถวางแผน พัฒนา และปรับแต่งให้เหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ เรายังมีบริการให้คำปรึกษาเรื่อง งบประมาณ ระยะเวลา และเทคโนโลยี เพื่อให้ทุกแอปที่เราสร้างนั้นตอบโจทย์และสร้างคุณค่าให้ธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง

ปรึกษาฟรีกับทีมงานของเราได้ที่

โทร: 098-7655-243 หรือ 098-7655-701

อีเมล: [email protected]

Line Whatsapp