Google Ads vs Facebook Ads แพลตฟอร์มไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณมากกว่ากัน?

ทุกวันนี้ การทำโฆษณาออนไลน์ควรเลือกแพลตฟอร์มให้ถูกกับพฤติกรรมของลูกค้าและเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ เพราะแม้ว่า Google Ads และ Facebook Ads จะเป็นเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้กันทั่วโลก แต่กลไก วิธีเข้าถึงลูกค้า และผลลัพธ์ที่ได้ กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลายธุรกิจมักสงสัยว่า “ควรเริ่มจาก Google หรือ Facebook ดีกว่ากัน?” หรือ “ช่องทางไหนคุ้มค่ากับงบประมาณที่มี?” คำตอบไม่ได้อยู่ที่แพลตฟอร์ม แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณเข้าใจลักษณะของแต่ละระบบมากแค่ไหน และรู้จักใช้ให้ตรงจุดหรือเปล่า
ในบทความนี้ Digital Agency Bangkok จะมาอธิบายความแตกต่าง จุดเด่น และแนวทางการเลือกใช้ Google Ads vs Facebook Ads ให้เหมาะกับเป้าหมายของธุรกิจคุณ พร้อมแบ่งปันมุมมองจากประสบการณ์ตรงของเราในการดูแลแคมเปญโฆษณาทั้งสองแพลตฟอร์มให้กับลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ธุรกิจบริการ ไปจนถึงแบรนด์สินค้าออนไลน์ ถ้าคุณกำลังต้องการเข้าใจว่า แพลตฟอร์มไหนจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ บทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ชัดเจนขึ้น
ทำความเข้าใจกับ Google Ads และ Facebook Ads
ก่อนจะตัดสินใจเลือกช่องทางโฆษณา สิ่งสำคัญคือการเข้าใจ “ธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม” เพราะถึงจะมีเป้าหมายเหมือนกันคือเพิ่มยอดขายและสร้างการรับรู้แบรนด์ แต่รูปแบบการทำงานของ Google Ads และ Facebook Ads กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง
Google Ads คืออะไร และทำงานอย่างไร
Google Ads คือระบบโฆษณาของ Google ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏต่อสายตาผู้คนในช่วงเวลาที่พวกเขากำลัง “ค้นหาสิ่งที่ต้องการ” เช่น หากมีคนพิมพ์คำว่า “รับทำเว็บไซต์ในกรุงเทพฯ” แล้วธุรกิจของคุณให้บริการนั้น โฆษณาจะขึ้นอยู่บนสุดของหน้าผลการค้นหา (Search Results) ทันที
พูดให้เข้าใจง่าย Google Ads เข้าถึงกลุ่มคนที่มีความต้องการอยู่แล้ว (Intent-based Marketing) ผู้ค้นหามักมีเจตนาชัดเจน เช่น ต้องการซื้อ ต้องการจอง หรือกำลังหาผู้ให้บริการ ซึ่งทำให้มีโอกาสปิดการขายสูง
นอกจาก Search Ads แล้ว Google ยังมีรูปแบบอื่นๆ เช่น
- Display Ads: โฆษณาภาพหรือแบนเนอร์ที่ปรากฏบนเว็บไซต์พันธมิตร
- YouTube Ads: วิดีโอโฆษณาที่แสดงก่อนหรือระหว่างการดูคลิป
- Shopping Ads: สำหรับสินค้าที่ขายออนไลน์โดยเฉพาะ
Facebook Ads คืออะไร และทำงานอย่างไร
ในอีกด้านหนึ่ง Facebook Ads (รวมถึง Instagram Ads) เป็นแพลตฟอร์มที่เน้น “สร้างความสนใจใหม่” ให้กับกลุ่มเป้าหมาย แทนที่ลูกค้าจะค้นหาคุณก่อนเหมือนใน Google คุณสามารถแสดงคอนเทนต์โฆษณาให้พวกเขาเห็นในระหว่างที่กำลังเลื่อนฟีด ดูสตอรี่ หรือชมวิดีโออยู่
นี่คือรูปแบบการตลาดแบบ Interest-based Marketing สร้างความต้องการขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลเชิงพฤติกรรม เช่น อายุ เพศ ความสนใจ หรือกิจกรรมที่ลูกค้าเคยทำบนแพลตฟอร์ม
จุดเด่นของ Facebook Ads คือ
- สามารถ เจาะกลุ่มเป้าหมายบนเฟสบุ๊กได้ละเอียด
- สร้างความสัมพันธ์กับผู้ชมผ่านภาพ วิดีโอ หรือข้อความที่เล่าเรื่องได้ดี
- เหมาะสำหรับการสร้างแบรนด์และขยายฐานลูกค้าใหม่
เป้าหมายทางธุรกิจกับการเลือกแพลตฟอร์ม
การจะเลือกยิงแอดให้ได้ผลจริง ไม่ได้เริ่มจากคำถามว่า “ยิงที่ไหนดีกว่า?” แต่ควรเริ่มจากการถามตัวเองก่อนว่า “เป้าหมายของธุรกิจคืออะไร?” เพราะทุกแพลตฟอร์มมีจุดแข็งต่างกัน และจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อใช้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ชัดเจน
ถ้าคุณต้องการยอดขายที่รวดเร็ว
ธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์ในทันที เช่น การขายสินค้าที่มีความต้องการสูงอยู่แล้ว หรือบริการที่ลูกค้ามักค้นหาบ่อย เช่น “คลินิกเสริมความงาม”, “รับทำเว็บไซต์”, “โรงแรมในภูเก็ต” Google Ads จะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า
เพราะผู้ใช้ Google มักมี “เจตนาในการซื้อ” อยู่แล้ว เมื่อพิมพ์ค้นหา หมายความว่าพวกเขากำลังมองหาคำตอบหรือผู้ให้บริการโดยตรง โอกาสที่จะเกิด Conversion เช่น การโทรสอบถาม กรอกฟอร์ม หรือสั่งซื้อ จึงสูงกว่าอย่างชัดเจน
ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นระยะยาว
ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น หรือแบรนด์ที่ต้องการขยายฐานลูกค้าใหม่ ควรเริ่มจาก Facebook Ads เพราะระบบของ Facebook และ Instagram ออกแบบมาเพื่อให้คน “เห็นซ้ำ จำได้ และค่อยๆ สนใจมากขึ้น”
คุณสามารถใช้คอนเทนต์ที่มีเรื่องราว วิดีโอ หรือภาพที่ดึงดูด เพื่อสร้างความรู้จักในวงกว้าง และใช้ฟีเจอร์อย่าง Retargeting หรือ Lookalike Audience เพื่อค่อยๆ เปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้าในอนาคต
สรุป: เริ่มจากเป้าหมาย แล้วค่อยเลือกแพลตฟอร์ม
แทนที่จะเริ่มจากคำว่า “อยากยิงแอดใน Facebook หรือ Google” ให้เริ่มจากคำถามว่า ต้องการยอดขายเร็ว หรืออยากให้คนจดจำแบรนด์? กลุ่มเป้าหมายของคุณมัก “ค้นหา” สินค้าหรือ “เลื่อนดู” คอนเทนต์? คำตอบเหล่านี้จะช่วยกำหนดทิศทางของกลยุทธ์ได้ชัดเจนกว่า ทีมงาน Digital Agency Bangkok มักเริ่มต้นทุกแคมเปญด้วยการทำความเข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจของลูกค้าก่อนเสมอ เพื่อวางแผนให้คุ้มค่างบประมาณและได้ผลลัพธ์จริงในระยะยาว
การเปรียบเทียบรูปแบบค่าใช้จ่ายและการวัดผล
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการมักพิจารณาเวลาจะเลือกแพลตฟอร์มโฆษณา คือเรื่อง “งบประมาณ” และ “ผลลัพธ์ที่วัดได้จริง” ทั้ง Google Ads และ Facebook Ads ต่างก็มีระบบคิดค่าใช้จ่ายที่ยืดหยุ่น แต่จุดต่างคือ ลักษณะของผู้ชม และ ประเภทของการวัดผล
ตารางด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
รายการเปรียบเทียบ | Google Ads | Facebook Ads |
รูปแบบการคิดค่าใช้จ่าย | จ่ายต่อการคลิก (PPC: Pay Per Click) | จ่ายตามการแสดงผล (CPM) หรือการกระทำ (CPC/CPA) |
ลักษณะผู้ชม | ผู้ที่ “ค้นหาด้วยความตั้งใจ” ต้องการสินค้า/บริการในตอนนั้น | ผู้ที่ “อาจสนใจ” สินค้าหรือบริการ ผ่านการเลื่อนฟีดหรือดูคอนเทนต์ |
เป้าหมายหลักของโฆษณา | การเพิ่มยอดขายหรือ Conversion ทันที | การสร้างการรับรู้และความสัมพันธ์กับแบรนด์ |
งบประมาณเริ่มต้นที่เหมาะสม | สูงกว่าเล็กน้อย เพราะเน้นกลุ่มลูกค้าพร้อมซื้อ | ยืดหยุ่น เหมาะกับธุรกิจเริ่มต้นหรือทดลองตลาด |
การวัดผลหลัก | Conversion Tracking เช่น การคลิก โทร หรือสั่งซื้อ | Engagement Tracking เช่น การกดไลก์ ดูวิดีโอ แชร์ หรือกรอกฟอร์ม |
ความแม่นยำของข้อมูล | ขึ้นอยู่กับคำค้นหาและเจตนาผู้ใช้ (Intent-based) | ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้ (Interest-based) |
ระยะเวลาเห็นผล | รวดเร็ว เห็นผลได้ภายในไม่กี่วันหลังเริ่มรันแคมเปญ | ใช้เวลาสร้างฐานผู้ชมและความน่าสนใจต่อเนื่องในระยะยาว |
เหมาะกับธุรกิจประเภท | บริการเฉพาะทาง, ร้านค้าออนไลน์, โรงแรม, คลินิก | แบรนด์สินค้าแฟชั่น, ความงาม, ไลฟ์สไตล์, ธุรกิจใหม่ |
สรุปจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ
ถ้ามองในเชิงกลยุทธ์ Google Ads คือเครื่องมือที่เหมาะกับการ “ปิดการขาย” Facebook Ads คือเครื่องมือที่เหมาะกับการ “เปิดใจลูกค้า”
ธุรกิจที่ต้องการผลระยะสั้นอาจเริ่มจาก Google ก่อนแต่ถ้าคุณต้องการสร้างฐานลูกค้าและแบรนด์ในระยะยาว ควรใช้ Facebook Ads เป็นตัวขับเคลื่อนควบคู่กัน
ธุรกิจแต่ละประเภทเหมาะกับแพลตฟอร์มไหน
แม้ว่า Google Ads และ Facebook Ads จะเป็นเครื่องมือโฆษณาที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่ แต่ “ความเหมาะสม” ของแต่ละแพลตฟอร์มขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจของคุณเป็นหลัก เพราะแต่ละประเภทธุรกิจมีพฤติกรรมของลูกค้าและเส้นทางการตัดสินใจ (Customer Journey) ที่ไม่เหมือนกัน
1.ธุรกิจบริการ เช่น คลินิก โรงแรม เอเจนซี่ หรือร้านอาหาร
กลุ่มลูกค้าของธุรกิจประเภทนี้มักมีความต้องการอยู่แล้ว และต้องการหาผู้ให้บริการทันที เช่น คนที่ค้นหา “คลินิกฟันใกล้ฉัน” หรือ “บริษัทรับทำเว็บไซต์ในกรุงเทพฯ” ลูกค้าประเภทนี้มี intent สูง หมายถึงพร้อมจะจองหรือสอบถามทันที
ดังนั้น Google Ads จะตอบโจทย์มากที่สุด เพราะสามารถแสดงผลตรงกับคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง และดึงลูกค้าในช่วง “พร้อมตัดสินใจ” เข้ามาได้โดยตรง
2.ธุรกิจสินค้าแฟชั่น ความงาม และไลฟ์สไตล์
ธุรกิจกลุ่มนี้ต้องอาศัยความรู้สึก การเห็นภาพ และแรงบันดาลใจในการตัดสินใจซื้อ ลูกค้ามักไม่ได้ค้นหาสินค้าโดยตรง แต่จะเจอผ่านโพสต์ วิดีโอ หรือรีวิว Facebook Ads (รวมถึง Instagram Ads) จึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะที่สุด เพราะสามารถใช้ภาพ วิดีโอ และคอนเทนต์เล่าเรื่องเพื่อดึงดูดอารมณ์และสร้างการรับรู้แบรนด์ได้ดีมาก
3.ธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือร้านค้าออนไลน์
ถ้าเน้นยอดขายออนไลน์โดยตรง ควรใช้ ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน
- ใช้ Facebook Ads เพื่อสร้างการมองเห็นและนำคนเข้าเว็บไซต์
- ใช้ Google Ads (Search + Shopping) เพื่อปิดการขายกับลูกค้าที่กำลังค้นหาสินค้านั้นจริงๆ
การทำงานร่วมกันของทั้งสองแพลตฟอร์มจะช่วยสร้างเส้นทางลูกค้าที่สมบูรณ์ ตั้งแต่เห็นสินค้า → สนใจ → ค้นหา → ซื้อ
4.ธุรกิจใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก
ในช่วงเริ่มต้น ธุรกิจที่เพิ่งเปิดตัวควรเน้น “สร้างการรับรู้” ก่อนยอดขาย Facebook Ads จะเหมาะกับการเริ่มต้นมากกว่า เพราะสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ แล้วค่อยๆ สร้างฐานผู้ติดตามและความน่าเชื่อถือ เมื่อแบรนด์เริ่มมีชื่อเสียงและมีคนค้นหามากขึ้น ค่อยเสริมด้วย Google Ads เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่พร้อมซื้อในภายหลัง
กลยุทธ์ที่ได้ผลจริง: ใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันอย่างมีกลยุทธ์
หลายธุรกิจมักเข้าใจว่าควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง Google Ads หรือ Facebook Ads แต่จากประสบการณ์ของ Digital Agency Bangkok เราพบว่า “การผสานพลังของทั้งสองแพลตฟอร์ม” สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแรงกว่าในระยะยาว
แนวทางที่แนะนำคือการแบ่งบทบาทให้ชัดเจน เช่น ใช้ Facebook Ads ในช่วงเริ่มต้นเพื่อสร้างการรับรู้ สร้างความคุ้นเคยกับแบรนด์ และเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย (Audience Data) จากนั้นจึงใช้ Google Ads เข้ามาเสริมในช่วงที่กลุ่มเป้าหมายมีความต้องการจริง พร้อมตัดสินใจซื้อ ซึ่งจะช่วยให้ Conversion Rate สูงขึ้นในขณะที่ใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่า
นอกจากนี้ การใช้ Remarketing ร่วมกันระหว่างสองแพลตฟอร์ม เช่น การยิงโฆษณา Facebook ซ้ำไปยังคนที่เคยค้นหาธุรกิจคุณใน Google หรือการทำโฆษณา Search ไปยังผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในเพจ Facebook ของคุณ จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและสร้างความจดจำในระยะยาว
กลยุทธ์นี้เป็นแนวทางที่ Digital Agency Bangkok ใช้ในการบริหารแคมเปญให้ลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ธุรกิจ SME ไปจนถึงแบรนด์องค์กรใหญ่ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า การวางแผนผสมผสานทั้งสองแพลตฟอร์มอย่างเข้าใจ จะช่วยให้การตลาดออนไลน์ของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืนและแม่นยำมากขึ้น.
สรุป
การเลือกแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า Google Ads หรือ Facebook Ads ดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจและพฤติกรรมของลูกค้า Google Ads จะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการจับกลุ่มลูกค้าที่มีความตั้งใจซื้ออยู่แล้ว เน้นการสร้างยอดขายและ Conversion ในระยะสั้น ส่วน Facebook Ads จะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ เพิ่มการมีส่วนร่วม และขยายฐานลูกค้าในระยะยาว
หลายธุรกิจสามารถได้ผลลัพธ์สูงสุดจากการใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกัน โดยวางกลยุทธ์ให้ Facebook Ads สร้างความสนใจและ Google Ads เข้ามาปิดการขาย จากประสบการณ์ของ Digital Agency Bangkok การเข้าใจลักษณะและข้อดีของแต่ละแพลตฟอร์ม พร้อมการวางแผนตามเป้าหมายธุรกิจ จะช่วยให้การทำโฆษณาออนไลน์คุ้มค่า ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องในระยะยาว
หากคุณกำลังมองหาทีมมืออาชีพที่จะช่วยวางกลยุทธ์และบริหารแคมเปญโฆษณาให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ Digital Agency Bangkok พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลตั้งแต่การเลือกแพลตฟอร์ม วางกลยุทธ์ จนถึงการวัดผลจริง
โทร: 098-7655-243 หรือ 098-7655-701
Email: [email protected]
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- Google Ads และ Facebook Ads แตกต่างกันอย่างไร?
Google Ads เหมาะกับการเข้าถึงคนที่กำลังค้นหาสินค้าหรือบริการ มีความตั้งใจซื้อสูง ส่วน Facebook Ads เหมาะกับการสร้างความสนใจและรับรู้แบรนด์ในกลุ่มเป้าหมายที่อาจสนใจแต่ยังไม่ค้นหาธุรกิจของคุณ - ธุรกิจประเภทไหนควรเลือก Google Ads?
ธุรกิจที่เน้นยอดขายหรือ Conversion ในระยะสั้น เช่น ร้านค้าออนไลน์ คลินิก โรงแรม หรือบริการเฉพาะทาง เหมาะกับ Google Ads เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าที่พร้อมซื้อได้ทันที - ธุรกิจประเภทไหนควรเลือก Facebook Ads?
ธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ ขยายฐานลูกค้า หรือเน้น Engagement เช่น สินค้าแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ และธุรกิจใหม่ ควรเริ่มจาก Facebook Ads เพื่อสร้างความสนใจและค่อยพัฒนาการตัดสินใจซื้อของลูกค้า - ควรใช้ Google Ads หรือ Facebook Ads ก่อน?
ไม่มีคำตอบเดียว การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเป้าหมายธุรกิจและลักษณะลูกค้า ธุรกิจที่ต้องการยอดขายทันทีสามารถเริ่มจาก Google Ads แต่ถ้าต้องการสร้างแบรนด์และฐานผู้ชมควรเริ่มจาก Facebook Ads - การใช้ทั้งสองแพลตฟอร์มร่วมกันได้ผลอย่างไร?
การผสาน Google Ads และ Facebook Ads ช่วยให้ธุรกิจสร้าง Awareness และ Engagement ผ่าน Facebook ก่อน แล้วใช้ Google Ads จับกลุ่มลูกค้าที่พร้อมซื้อ ทำให้ Conversion สูงขึ้นและใช้งบประมาณได้คุ้มค่า - Digital Agency Bangkok ช่วยวางแผนแคมเปญได้อย่างไร?
ทีมงานของเรามีประสบการณ์บริหารแคมเปญทั้ง Google Ads และ Facebook Ads สำหรับธุรกิจหลายประเภท เราช่วยวิเคราะห์เป้าหมาย วางกลยุทธ์ และติดตามผล เพื่อให้ธุรกิจของคุณได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด