WooCommerce คืออะไร? คู่มือสำหรับเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ในปี 2025

อยากเปิดร้านค้าออนไลน์ แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี? สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ใช้เว็บไซต์ WordPress คำตอบหนึ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดก็คือ WooCommerce ปลั๊กอินอีคอมเมิร์ซที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบได้ทันที

แต่ WooCommerce เหมาะกับทุกธุรกิจจริงหรือไม่? แล้วมันแตกต่างจากแพลตฟอร์มขายของออนไลน์อื่น ๆ อย่างไร? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักปลั๊กอินยอดนิยมนี้ให้ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ความหมาย ฟีเจอร์เด่น ไปจนถึงคำแนะนำว่าธุรกิจแบบไหนควรเลือกใช้ บทความนี้รวบรวมข้อมูลโดย Digital Agency Bangkok เรามีประสบการณ์มากกว่าสิบปีในเรื่องของเว็บไซต์

what-is-woocommerce-th

WooCommerce คืออะไร

WooCommerce คือปลั๊กอินสำหรับทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (E-commerce Plugin) ของ WordPress ที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบ ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มสินค้า กำหนดราคา จัดการสต็อก เชื่อมต่อระบบชำระเงิน และติดตามออเดอร์ได้ในที่เดียว จุดเด่นคือใช้งานฟรี ยืดหยุ่นสูง และสามารถเพิ่มฟังก์ชันเสริมได้ผ่าน Extension หรือการปรับแต่งธีม จึงเหมาะกับทั้งร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจที่ต้องการระบบที่ปรับแต่งเฉพาะตัว WooCommerce ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยมีผู้ใช้งานมากกว่า 6.5 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก (ข้อมูลจาก BuiltWith, 2025) และเป็นโซลูชันที่เหมาะกับเจ้าของธุรกิจที่ใช้ WordPress อยู่แล้ว เนื่องจากติดตั้งง่ายและมีคอมมูนิตี้ผู้พัฒนารองรับขนาดใหญ่

ทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ ถ้าคุณมีเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress แล้วอยากเปลี่ยนให้มันขายของได้ไม่ว่าจะใส่สินค้า ตะกร้าสินค้า ระบบจ่ายเงิน โอนตังค์เรียบร้อย  คุณก็แค่ติดตั้งปลั๊กอินชื่อว่า WooCommerce เท่านั้นเอง เช่น คุณมีเว็บขายเสื้อผ้าเล็กๆ พอติดตั้ง WooCommerce คุณก็สามารถใส่รูปสินค้า เลือกไซส์ ราคา เชื่อมกับการชำระเงินผ่านบัตรหรือโอนเงิน แล้วลูกค้าก็กดสั่งซื้อได้ทันที เหมือนเว็บไซต์ช้อปปิ้งใหญ่ ๆ เลย

สรุปง่ายๆว่าคืออะไร WooCommerce ก็คือเครื่องมือที่ช่วยให้ ว็บไซต์ WordPress ธรรมดา กลายเป็นร้านค้าออนไลน์เต็มรูปแบบ ได้แบบไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์

 

สิ่งที่ทำให้ Woocommerce เป็นที่นิยม

สิ่งที่ทำให้ WooCommerce ได้ใจผู้ใช้งานก็คือความยืดหยุ่นสูง คุณสามารถปรับแต่งร้านค้าได้ตามใจ ตั้งแต่ธีมดีไซน์ ระบบตะกร้าสินค้า ระบบชำระเงิน ไปจนถึงการจัดการขนส่งและสต็อกสินค้า นอกจากนี้ยังมี Extension และปลั๊กอินเสริมให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ร้านของคุณมีฟีเจอร์ครบแบบมืออาชีพ เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่ร้านเล็ก ๆ ที่ขายของโฮมเมด ไปจนถึงแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการฟังก์ชันขั้นสูง และด้วยความที่มีชุมชนผู้ใช้ขนาดใหญ่ คู่มือและเอกสารช่วยเหลือครบครัน ทำให้คุณเรียนรู้หรือแก้ปัญหาได้ง่าย ใครที่อยากเริ่มขายของออนไลน์ WooCommerce คือทางเลือกที่ทำให้คุณ “เปิดร้านออนไลน์ได้จริง”

 

ตัวอย่างเว็บไซต์ WooCommerce ที่พัฒนาโดย Digital Agency Bangkok

ตัวอย่างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ออกแบบและพัฒนาโดย Digital Agency Bangkok ได้แก่ Bornhigh แบรนด์ไลฟ์สไตล์อุปกรณ์สูบพรีเมียม เราได้สร้างเว็บไซต์ที่ทันสมัย รองรับมือถือ พร้อมระบบจัดการสินค้า, หมวดหมู่, ระบบชำระเงิน และบัญชีผู้ใช้ ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างสะดวก ราบรื่น และสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์พรีเมียมของ Bornhigh

 

woocomerce-keyfeature-th

ฟีเจอร์เด่นของ WooCommerce

  1. ระบบจัดการสินค้าแบบครบวงจร
    WooCommerce ช่วยให้คุณเพิ่มสินค้าได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชิ้นเดียว, สินค้าที่มีตัวเลือกหลายแบบ เช่น สี ขนาด หรือวัสดุ รวมถึงสินค้าดิจิทัลที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้หลังชำระเงิน ฟีเจอร์นี้ทำให้คุณสามารถสร้างร้านออนไลน์ได้ครบทุกประเภท ไม่ว่าจะขายของจริงหรือของดิจิทัล
  2. ระบบชำระเงินที่ยืดหยุ่น
    WooCommerce รองรับวิธีชำระเงินหลากหลาย เริ่มตั้งแต่การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร, เก็บเงินปลายทาง (COD) หรือเชื่อมต่อกับ Payment Gateway ชั้นนำอย่าง Omise, PayPal และ Stripe ทำให้ลูกค้าของคุณสะดวกในการเลือกวิธีจ่ายเงิน และช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น
  3. ระบบขนส่งและการจัดส่งอัจฉริยะ
    WooCommerce สามารถคำนวณค่าส่งสินค้าอัตโนมัติ ตามน้ำหนัก พื้นที่ หรือเงื่อนไขโปรโมชั่น เช่น ส่งฟรีเมื่อซื้อครบจำนวนที่กำหนด คุณยังสามารถกำหนดวิธีจัดส่งหลายแบบ ทั้งจัดส่งด่วน, จัดส่งแบบธรรมดา หรือให้ลูกค้าเลือกรับสินค้าที่ร้านได้
  4. จัดการสต็อกสินค้าได้ง่าย
    ไม่ต้องกังวลเรื่องสินค้าหมดสต็อก WooCommerce มีระบบตรวจสอบสต็อกแบบเรียลไทม์ พร้อมแจ้งเตือนเมื่อสินค้ากำลังจะหมด คุณสามารถบริหารสินค้าทั้งหมดได้จากแผงควบคุมเดียว ทำให้ลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพการขาย
  5. ปรับแต่งได้อิสระด้วย Theme และ Extensions
    คุณสามารถเปลี่ยนดีไซน์ร้านค้าได้ตามใจ ด้วย Theme ที่มีให้เลือกหลากหลาย รวมถึงติดตั้ง Extensions เพื่อเพิ่มฟีเจอร์พิเศษ เช่น ระบบสมาชิก, ระบบรีวิว, คูปองโปรโมชั่น หรือฟังก์ชันเฉพาะของธุรกิจ ทำให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณไม่ซ้ำใคร
  6. รองรับ SEO ช่วยให้ค้นหาเจอง่ายขึ้น
    WooCommerce ถูกออกแบบให้ เป็นมิตรกับ Google ช่วยให้สินค้าของคุณติดอันดับในผลการค้นหาได้ง่ายขึ้น ทั้งยังสามารถปรับแต่ง URL, Meta Description, Title, และใช้ปลั๊กอิน SEO เพิ่มเติม เพื่อให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณโดดเด่นใน Search Engine

 

ข้อดีของ WooCommerce 

คุณคงสงสัยว่าข้อดีของ WooCommerce คืออะไร อย่างที่กล่าวไป ฟีเจอร์ของ WooCommerce ไม่ได้มีแค่การจัดการสินค้าแบบต่าง ๆ แต่ยังช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณปรับแต่งได้อย่างอิสระ รองรับทุกขนาดธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะเป็นร้านเล็กที่เริ่มขายออนไลน์ หรือธุรกิจใหญ่ที่ต้องการระบบจัดการสินค้าจำนวนมาก อีกทั้งยังรองรับช่องทางการชำระเงินหลายแบบ ทำให้ลูกค้าซื้อของได้สะดวก 

นอกจากนี้ WooCommerce ยังเป็นมิตรกับการทำ SEO ช่วยให้สินค้าของคุณปรากฏบน Google ได้ง่าย และด้วยชุมชนผู้ใช้งานจำนวนมาก คุณจึงสามารถหาความช่วยเหลือ เรียนรู้ หรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ร้านของคุณได้ตลอดเวลา ทำให้แพลตฟอร์มนี้ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากสร้างร้านค้าออนไลน์ด้วย WordPress

 

ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องระวัง

  • ต้องใช้เวลาเรียนรู้และตั้งค่า
    WooCommerce มีฟีเจอร์เยอะและปรับแต่งได้อิสระ แต่ผู้เริ่มต้นอาจรู้สึกสับสนกับการตั้งค่า การติดตั้งธีมและปลั๊กอิน รวมถึงการจัดการสินค้าหลายประเภท การเข้าใจโครงสร้างและเครื่องมือของ WooCommerce จึงสำคัญก่อนเริ่มขายจริง
  • ปลั๊กอินมากเกินไปทำให้เว็บไซต์ช้า
    การติดตั้งปลั๊กอินเสริมช่วยเพิ่มฟีเจอร์ได้ แต่ถ้าใช้มากเกินไป เว็บไซต์อาจโหลดช้า ทำให้ลูกค้าหงุดหงิดและเสียโอกาสขาย ดังนั้นควรเลือกเฉพาะปลั๊กอินที่จำเป็นและปรับแต่งให้เหมาะกับร้านของคุณ
  • ต้องใช้โฮสติ้งคุณภาพสูง
    สำหรับร้านขนาดใหญ่หรือมีสินค้าหลายพันรายการ WooCommerce ต้องอาศัยโฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพ หากใช้โฮสติ้งทั่วไป อาจทำให้ระบบจัดการสินค้า สต็อก หรือการทำงานของเว็บไซต์ไม่ราบรื่น
  • การอัปเดตธีมและปลั๊กอินจำเป็นต่อความปลอดภัย
    WooCommerce เป็นระบบ Open-source ซึ่งต้องดูแลให้ทันสมัยอยู่เสมอ การอัปเดตธีมและปลั๊กอินช่วยป้องกันช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี
  • บางฟีเจอร์ต้องจ่ายเพิ่ม
    แม้ตัว WooCommerce จะใช้ฟรี แต่ฟีเจอร์บางอย่าง เช่น การเชื่อมต่อ Payment Gateway, ระบบ Subscription, หรือ Extensions ขั้นสูง อาจต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม ทำให้ค่าใช้จ่ายรวมสูงขึ้นตามความต้องการของร้าน

 

ความปลอดภัยและการชำระเงิน

หลายคนอาจยังสงสัยว่า WooCommerce และปลั๊กอินเสริมต่าง ๆ ทำงานอย่างไรเมื่อเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการชำระเงิน ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า WooCommerce เป็นระบบ Open-source ที่ให้คุณสร้างร้านออนไลน์ได้อย่างยืดหยุ่น แต่ก็หมายความว่าความปลอดภัยเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านต้องดูแลเองด้วย  ตัว WooCommerce มีระบบพื้นฐานที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น การเข้ารหัสข้อมูลลูกค้าและรหัสผ่าน แต่สำหรับการชำระเงินออนไลน์ คุณมักจะต้องใช้ ปลั๊กอิน Payment Gateway อย่าง Omise, PayPal หรือ Stripe ซึ่งปลั๊กอินเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้ลูกค้าชำระเงินได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ต้องส่งข้อมูลบัตรเครดิตผ่านเว็บไซต์โดยตรง

นอกจากนี้ เจ้าของร้านควรหมั่น อัปเดต WooCommerce, ธีม และปลั๊กอิน อยู่เสมอ เพราะทุกการอัปเดตมักมาพร้อมกับการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์

สำหรับลูกค้า การใช้ร้าน WooCommerce ที่ตั้งค่าถูกต้องและเชื่อมต่อกับ Payment Gateway ที่น่าเชื่อถือ จึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลการชำระเงินจะถูกเข้ารหัส และธุรกรรมออนไลน์จะปลอดภัยเหมือนกับการซื้อสินค้ากับร้านใหญ่ ๆ

สรุปง่าย ๆ คือ WooCommerce ทำงานร่วมกับปลั๊กอิน Payment Gateway เพื่อให้การชำระเงินออนไลน์ปลอดภัย และคุณเองในฐานะเจ้าของร้าน ต้องดูแลอัปเดตระบบและเลือกปลั๊กอินที่น่าเชื่อถือเพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้า

who-should-use-ecommerce เหมาะกับร้านค้าแบบไหน

เหมาะกับเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์แบบไหน

ความยืดหยุ่นและฟีเจอร์ที่ครบครันของ WooCommerce ทำให้แพลตฟอร์มสามารถรองรับร้านค้าออนไลน์หลายประเภทตั้งแต่ร้านเล็ก ๆ ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ นี่คือตัวอย่างเว็บไซต์ที่เราแนะนำ

  • ร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กถึงกลาง: ร้านขายสินค้าแฟชั่น, เครื่องสำอาง, ของตกแต่งบ้าน หรือสินค้าเฉพาะกลุ่ม WooCommerce ช่วยให้คุณสร้างหน้าร้านได้รวดเร็ว ปรับแต่งง่าย และจัดการสินค้าได้หลายรูปแบบ
  • ร้านที่ขายสินค้าดิจิทัล: เช่น eBook, ไฟล์เพลง, ซอฟต์แวร์ หรือคอร์สออนไลน์ WooCommerce รองรับการขายไฟล์ดาวน์โหลด ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อและดาวน์โหลดสินค้าได้ทันที
  • ร้านที่ต้องการระบบตัวเลือกสินค้า: เช่น เสื้อผ้าที่มีไซส์และสีต่างกัน หรือสินค้าที่สามารถปรับแต่งตามความต้องการ WooCommerce สามารถสร้างสินค้าแบบเลือกตัวเลือก (Variable Product) ได้ง่าย
  • ร้านที่ต้องการระบบชำระเงินและขนส่งครบวงจร: คุณสามารถเชื่อมต่อ Payment Gateway เช่น Omise, PayPal, Stripe และตั้งค่าการจัดส่งแบบต่าง ๆ ให้คำนวณค่าส่งอัตโนมัติ
  • ธุรกิจที่คาดหวังการเติบโต: ร้านที่ต้องการขยายเป็นหลายภาษา, หลายสกุลเงิน หรือมีฟีเจอร์ขั้นสูง WooCommerce สามารถปรับแต่งได้ด้วย Extensions และปลั๊กอินเสริม ทำให้รองรับความต้องการในระยะยาว

 

ค่าใช้จ่ายโดยรวมของ WooCommerce ในประเทศไทย

หลายคนคิดว่า WooCommerce ฟรีแล้วจบ แต่จริงๆ การสร้างร้านค้าออนไลน์ด้วย WooCommerce มี ค่าใช้จ่ายหลายส่วนที่ควรพิจารณาเพื่อให้ร้านทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

  • ค่าติดตั้งและธีม (Theme): WooCommerce ตัวปลั๊กอินหลักติดตั้งฟรี แต่ถ้าต้องการธีมสวย ๆ หรือฟีเจอร์เฉพาะ อาจซื้อธีมพรีเมียม ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,050–3,500 บาท
  • ปลั๊กอินเสริม (Extensions / Plugins): สำหรับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ระบบสมาชิก, การเชื่อม Payment Gateway, ระบบจองสินค้า, SEO, หรือระบบจัดส่งขั้นสูง ปลั๊กอินบางตัวฟรี แต่บางตัวอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 1,750–10,500 บาทต่อปีต่อปลั๊กอิน
  • ค่า Hosting และโดเมน: WooCommerce ต้องใช้ WordPress Hosting ที่มีคุณภาพเพื่อให้ร้านทำงานได้ราบรื่น ค่า Hosting เริ่มต้นประมาณ 175–1,050 บาทต่อเดือน สำหรับร้านขนาดเล็ก และอาจสูงกว่านี้สำหรับร้านใหญ่ ส่วนโดเมนทั่วไปราคาประมาณ 350–700 บาทต่อปี
  • ค่าออกแบบและปรับแต่ง: หากต้องการร้านที่ปรับแต่งเฉพาะตัว เช่น ออกแบบ UI/UX, จัดวางสินค้า, หรือสร้างฟีเจอร์เฉพาะ ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการเช่น เอเจนซี่มืออาชีพอาจมีราคาแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างราคาทำเว็บไซต์ที่เข้าถึงได้ คลิกที่นี่
  • การบำรุงรักษาและอัปเดต: WooCommerce ต้องอัปเดตธีม ปลั๊กอิน และ WordPress เพื่อความปลอดภัยและฟีเจอร์ใหม่ ค่าใช้จ่ายอาจรวมอยู่ในแพ็กเกจบำรุงรักษา 700–3,500 บาทต่อเดือน

 

สรุป

คุณคงเห็นแล้วว่า WooCommerce เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการสร้างร้านค้าออนไลน์บน WordPress ด้วยฟีเจอร์ครบครัน ตั้งแต่ระบบจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน ระบบขนส่ง ไปจนถึงการปรับแต่งธีมและปลั๊กอินตามใจชอบ ทำให้คุณสามารถสร้างร้านที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้ทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ข้อดีของ WooCommerce คือความยืดหยุ่น ปรับแต่งได้ง่าย และเป็นมิตรกับ SEO แต่ก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายเสริมบางส่วน ทำให้หลายธุรกิจเลือกจ้างเอเจนซี่ทำเว็บไซต์ Woocommerce ครบวงจร

และการเลือใช้ WooCommerce นั้นเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการควบคุมร้านค้าออนไลน์ได้เต็มที่ อยากเพิ่มฟีเจอร์พิเศษ หรือเชื่อมต่อกับระบบการตลาดอื่น ๆ ด้วยตัวเอง สำหรับผู้เริ่มต้นก็สามารถเริ่มด้วยตัวฟรีและขยายฟีเจอร์เพิ่มเติมเมื่อธุรกิจเติบโต

 

FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ WooCommerce

Q1: WooCommerce เหมาะกับใคร?
A: WooCommerce เหมาะกับธุรกิจทุกขนาดที่ใช้ WordPress ต้องการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ปรับแต่งได้เต็มที่ ตั้งแต่ร้านเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการฟีเจอร์พิเศษหรือระบบจัดการสินค้าขั้นสูง

Q2: การติดตั้ง WooCommerce ยากไหม?
A: ไม่ยากเลยครับ สำหรับคนที่มี WordPress อยู่แล้ว คุณสามารถติดตั้ง WooCommerce ผ่าน Dashboard ได้โดยตรง ระบบมี Wizard แนะนำขั้นตอนการตั้งค่าพื้นฐานตั้งแต่ระบบชำระเงินไปจนถึงการจัดส่ง

Q3: WooCommerce ปลอดภัยหรือไม่?
A: ปลอดภัยครับ หากคุณอัปเดต WordPress, WooCommerce และปลั๊กอินเสริมเป็นประจำ และใช้ Payment Gateway ที่เชื่อถือได้ เช่น Omise, PayPal การชำระเงินและข้อมูลลูกค้าจะถูกเข้ารหัสและจัดการอย่างปลอดภัย

Q4: ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
A: WooCommerce ตัวพื้นฐานติดตั้งได้ฟรี แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นธีมพรีเมียม, ปลั๊กอินเสริม, หรือค่า Payment Gateway ในไทยเริ่มต้นประมาณ 1,000–3,000 บาทต่อเดือนสำหรับฟีเจอร์พื้นฐาน และอาจสูงขึ้นหากต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง

Q5: สามารถปรับแต่งร้านให้เหมาะกับธุรกิจได้ไหม?
A: ได้แน่นอน WooCommerce รองรับธีมและ Extensions จำนวนมาก ทำให้คุณปรับแต่งร้านค้าให้เหมาะกับธุรกิจได้ เช่น สินค้าหลายตัวเลือก ระบบคูปอง ระบบสมาชิก หรือระบบจัดส่งเฉพาะพื้นที่

Q6: WooCommerce รองรับ SEO หรือไม่?
A: รองรับครับ WooCommerce ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับ Google และสามารถติดตั้งปลั๊กอิน SEO เพิ่มเติมได้ ทำให้สินค้าและหน้าร้านของคุณมีโอกาสติดอันดับในผลการค้นหา

Q7: ถ้าเป็นมือใหม่ ควรเริ่มจากตรงไหน?
A: เริ่มจากติดตั้ง WooCommerce ตัวฟรีบน WordPress แล้วตั้งค่าพื้นฐาน เช่น สินค้า, การชำระเงิน, การจัดส่ง จากนั้นค่อยเพิ่มฟีเจอร์เสริมตามต้องการทีละขั้นตอน

 

Tips สำหรับการใช้ WooCommerce ให้ร้านออนไลน์ประสบความสำเร็จ

  • เลือกธีมและดีไซน์ที่เหมาะกับร้านคุณ
    อย่าเลือกธีมเพียงเพราะสวย แต่ให้ดูด้วยว่าธีมนั้นรองรับ WooCommerce ได้เต็มประสิทธิภาพหรือไม่ และตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ เช่น ร้านแฟชั่นอาจเน้นภาพสินค้าใหญ่ ๆ ชัดเจน ส่วนร้านขายไฟล์ดิจิทัลอาจเน้นการดาวน์โหลดที่สะดวก การเลือกธีมที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกค้าคลิกซื้อได้ง่ายและรู้สึกมั่นใจในร้านของคุณ
  • ใช้ Payment Gateway ที่ปลอดภัยและสะดวก
    การชำระเงินคือหัวใจของร้านออนไลน์ ควรเลือกปลั๊กอิน Payment Gateway ที่เชื่อถือได้ เช่น Omise, PayPal หรือ Stripe เพื่อให้ลูกค้าชำระเงินได้ง่าย ไม่ว่าจะบัตรเครดิต, เดบิต หรือโอนเงินผ่านธนาคาร การมีตัวเลือกชำระเงินหลากหลายจะช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายและสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า
  • อัปเดตร้านอยู่เสมอ
    WooCommerce, ธีม และปลั๊กอินเสริมมักจะมีอัปเดตเพื่อปรับปรุงฟีเจอร์หรือแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย อย่าปล่อยให้ร้านเก่า ไม่อัปเดต เพราะอาจทำให้เว็บไซต์ช้า เสี่ยงถูกโจมตี หรือเกิดบั๊กต่าง ๆ การอัปเดตสม่ำเสมอช่วยให้ร้านทำงานราบรื่น ปลอดภัย และลูกค้าพอใจมากขึ้น
Line Whatsapp