วิธีเลือกบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
เลือกบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันมือถืออย่างไรให้ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ
ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี การมีแอปพลิเคชันมือถือสำหรับธุรกิจกลายเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การมีเว็บไซต์ แอปพลิเคชันมือถือสามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า สร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นช่องทางสำคัญในการเพิ่มรายได้
เนื่องจากในปัจจุบันแอปพลิเคชันมือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทต้องปรับตัวและหันมาสนใจการสร้างแพลตฟอร์มสำหรับแอพลิเคชันของตนเอง
แต่การจะหาบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือที่ตรงใจลูกค้าและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจนั้น ต้องใช้เวลาที่นานพอสมควร และยังต้องใช้ทุนทรัพย์ไม่น้อยเลยทีเดียว หากเลือกบริษัทที่ไม่ดีพอ ก็อาจทำให้สูญเสียทั้งเงินและเวลา
เพราะแบบนั้นเราเลยจะมาแนะนำวิธีการเลือกบริษัทพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและได้แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของคุณ
ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์
ประสบการณ์ของทีมงานในการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือนั้นเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาแอป ทั้งในเรื่องของประสบการณ์ในการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีหลากหลายฟีเจอร์ และการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตัวแอปพลิเคชัน ที่ควรสามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงความสามารถในการเขียนโค้ด และความเข้าใจในระบบ android และ ios
ผลงาน
ควรตรวจสอบผลงานหรือโปรเจคที่ทางทีมงานได้เคยพัฒนา โดยเฉพาะผลงานที่มีความคล้ายคลึงกับความต้องการของธุรกิจของคุณ เพราะจะทำให้เข้าใจในความต้องการเฉพาะของคุณได้ดีกว่า
รวมถึงควรเลือกตรวจสอบรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าเดิม เพื่อตรวจสอบถึงคุณภาพของงานและการบริการของบริษัท ที่ใช้ในการประกอบการตัดสินใจ รวมถึงควรลองดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ทางบริษัทเคยพัฒนามาลองใช้งานดูก่อนก็เป็นเรื่องที่ดี
ความสามารถในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
บริษัทรับพัฒนาแอปพลิเคชันควรที่จะมีทักษะการออกแบบและเขียนโค้ดที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหน้า UX/UI ระบบการชำระเงิน หรือการแจ้งเตือนแบบพุช รวมถึงการใช้งานที่ลื่นไหล และที่สำคัญควรต้องใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เนื่องจากจะสามารถเพิ่มประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งานได้
เทคโนโลยีที่ใช้
เทคโนโลยีที่บริษัทรับพัฒนาแอปเลือกใช้มีผลต่อคุณภาพ และประสิทธิภาพของแอป รวมถึงความสามารถของทีมพัฒนาด้วยความมีความชำนาญในเทคโนโลยีนั้นมากแค่ไหน โดยบริษัทพัฒนาแอปที่ทันสมัยจะใช้เทคโนโลยี อย่าง Flutter, React Native หรือ Kotlin ที่ช่วยให้พัฒนาแอปได้อย่างรวดเร็วและประหยัดงบ
งบประมาณ
บางครั้งการจ่ายในราคาที่แพงก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป แต่หากจ่ายในราคาที่ถูกมากเกินไป ก็มีโอกาสเสี่ยงที่ได้รับแอปพลิเคชันที่ไม่มีคุณภาพ เพราะงั้นราคาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
โดยคุณควรมีการกำหนดงบประมาณไว้ก่อนอย่างชัดเจน แล้วจึงตกลงกับทางบริษัทว่าสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันตามที่คุณต้องการได้ในราคาเท่านี้หรือไม่ โดยคุณควรขอใบเสนอที่ชัดเจนและครอบคลุม และระวังในเรื่องค่าใช้จ่ายแอบแฝง ดังนั้นคุณควรสอบถามเรื่องราคาให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนก่อนเริ่มเซ็นสัญญา
การสนับสนุนหลังการขาย
การพัฒนาแอปไม่ได้จบลงเพียงการเปิดตัว เพราะหลังจากนั้นจะมีในเรื่องการอัพเดตเพื่อแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง หรือการมีเนื้อหาใหม่ๆที่ถูกเพิ่มขึ้นมา และแอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้นก็ควรที่จะต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยอยู่เสมอ
เพื่อไม่ให้มีการแฮกหรือโดนขโมยข้อมูลไปได้ในภายหลัง ดังนั้นทางบริษัทจึงควรมีนโยบายตรงนี้ เพื่อช่วยให้แอปพลิเคชันของคุณดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นหากคุณมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการพัฒนาแอปพลิเคชัน คุณสามารถสอบถามเราได้
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอปมือถือในกรุงเทพฯ
การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือเป็นการลงทุนที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดหรือสร้างความสะดวกสบายให้กับลุกค้ายุคดิจิทัล แต่หลายคนอาจสงสัยว่าค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอปในกรุงเทพฯ อยู่ที่เท่าไหร่ และมีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายเหล่านั้น
แอปพลิเคชันพื้นฐาน (Basic App)
- งบประมาณโดยประมาณ : 30,000 - 50,000 บาท
- เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพที่ต้องการแอปที่มีฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท แบบฟอร์มติดต่อ หรือระบบแสดงสินค้า
แอปพลิเคชันระดับกลาง (Mid-Range App)
- งบประมาณโดยประมาณ : 50,000 - 150,000 บาท
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การลงทะเบียนผู้ใช้ ระบบชำระเงินในแอป หรือการแจ้งเตือนแบบพุช
แอปพลิเคชันระดับสูง (Advance App)
- งบประมาณโดยประมาณ : 150,000 - 300,000 บาท
- สำหรับแอปที่ต้องการฟีเจอร์ซับซ้อน เช่น ระบบ AI, การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง, การเชื่อมต่อกับ IoT หรือการพัฒนาสำหรับหลายแพลตฟอร์ม
หมายเหตุ : ค่าใช้จ่ายจริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแอปและผู้พัฒนาที่คุณเลือก
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอป
การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่าย ดังนี้:
1. ความซับซ้อนของฟีเจอร์และฟังก์ชัน
การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือมีขอบเขตและความซับซ้อนที่ขึ้นอยู่กับประเภทของแอป ฟีเจอร์ที่ต้องการ และระบบเบื้องต้น เช่น แอปพื้นฐานอาจต้องการเพียงการแสดงข้อมูลหรือฟังก์ชันทั่วไป ในขณะที่แอปที่ซับซ้อน อย่างแอปอีคอมเมิร์ซหรือแอปที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ขอบเขตการทำงานยังรวมถึงการออกแบบ UX/UI ที่ตอบโจทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อระยะยาวและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ
2. แพลตฟอร์มที่ต้องการพัฒนา
การเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการออกแบบ การพัฒนาและต้นทุนโปรเจกต์ ธุรกิจควรพิจารณาว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของตนใช้อุปกรณ์ประเภทใด แต่ก็สามารถพัฒนาให้รองรับกับทั้งสองระบบได้ ไม่ว่าจะเป็น Andriod หรือ IOS การเลือกแพลตฟอร์มที่สมควรขึ้นอยู่กับงบประมาณ และความสะดวกในการดูแลรักษาแอปในระยะยาว
3. การออกแบบ UX/UI
ความสวยงามเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับแอปใดก็ตาม นั่นจึงทำให้การออกแบบ UX/UI เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ประสบการณ์ใช้งานของผู้ใช้ราบรื่น และใช้งานง่าย แต่ว่าก็อาจเพิ่มค่าใช้จ่ายในการพัฒนาแอปไปพร้อมๆกัน เพราะการออกแบบดีไซน์ให้ดูดีและน่าสนใจนั้นล้วนมีความซับซ้อนและต้องใช้ความพยายาม รวมถึงทรัพยากรเป็นอย่างมาก
4. ตำแหน่งที่ตั้งและค่าจ้างทีมพัฒนา
ตำแหน่งที่ตั้งของทีมพัฒนามีผลต่อค่าใช้จ่ายโดยตรง ทีมในยุโรปหรือสหรัฐฯ มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ขณะที่ทีมในเอเชีย เช่น ไทยหรืออินเดีย มีอัตราค่าจ้างที่คุ้มค่ากว่าแต่ยังคงคุณภาพงานที่ดี โดยเฉพาะในกรุงเทพ คุณสามารถเข้าถึงนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญในราคาที่เหมาะสม ทั้งยังได้เปรียบด้านความเข้าใจการตลาดในประเทศ การเลือกทีมพัฒนาควรคำนึงถึงทั้งงบประมาณ คุณภาพ และความสะดวกในการสื่อสารเพื่อให้โปรเจกต์ประสบความสำเร็จสูงสุด
5. การทดสอบและการบำรุงรักษา
การทดสอบและการบำรุงรักษาแอปพลิเคชันเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้แอปทำงานได้อย่างราบรื่นและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ โดยการทดสอบจะตรวจสอบฟีเจอร์ ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ต่างๆ และแก้ไขข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
ส่วนการบำรุงรักษาหลังเปิดตัวจะครอบคลุมถึงการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ปรับปรุงประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหา ซึ่งทั้งหมดนี้มีค่าใช้จ่ายที่ต่อเนื่อง โดยปกติจะคิดราคารายเดือนหรือรายปี ขึ้นอยู่กับขอบเขตงานและความซับซ้อนของแอปพลิเคชัน
6. ระยะเวลาการพัฒนา
ระยะเวลาการพัฒนาแอปพลิเคชันมีผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่าย แอปพลิเคชันพื้นฐานที่ใช้เวลาพัฒนา 1-3 เดือนมักมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า เนื่องจากใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ในขณะที่แอปที่มีฟังก์ชันซับซ้อน เช่น ระบบอีคอมเมิร์ซหรือฟีเจอร์เฉพาะทาง อาจใช้เวลาถึง 6 เดือนหรือมากกว่านั้น ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของทีมพัฒนา การกำหนดความต้องการอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นช่วยลดระยะเวลาหรือควบคุมงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น
5 ฟีเจอร์สำคัญที่แอปพลิเคชันธุรกิจต้องมีในปี 2024
1. การรองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform Support)
ในยุคที่ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลผ่านอุปกรณ์หลากหลาย ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และเดสก์ท็อป แอปธุรกิจจำเป็นต้องรองรับการทำงานข้ามแพลตฟอร์ม เพื่อมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นและตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
2. ระบบวิเคราะห์ข้อมูล (Advance Analytics)
การเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ แอปพลิเคชันควรมีระบบวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การติดตามพฤติกรรมการใช้งาน หรือการวัดผลตอบรับแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้ธุรกิจปรับกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
3. การแจ้งเตือนแบบพุช (Push Notifications)
การสื่อสารกับลูกค้าอย่างทันท่วงทีผ่านการแจ้งเตือนแบบพุชช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและกระตุ้นการทำธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการส่งโปรโมชัน การแจ้งเตือนการอัปเดต หรือข้อความสำคัญต่างๆ
4. ระบบความปลอดภัยขั้นสูง (Enhanced Security)
ในปี 2024 ที่การโจมตีทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น แอปธุรกิจต้องมีระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง เช่น การยืนยันตัวตนแบบหลายชั้น (Multri Factory Authentication) และการเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) เพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้าและธุรกิจ
5. ระบบสนับสนุนผู้ใช้ในแอป (In-App Support)
การมีฟีเจอร์ช่วยเหลือผู้ใช้ เช่น ระบบแชทบอทหรือฝ่าบริการลูกค้าในแอป ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งาน
ฟีเจอร์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน แต่ยังช่วยให้ธุกิจสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไมจึงควรเลือกเรา Digital Agency Bangkok Co., Ltd ?
ที่ Digital Agency Bangkok Co., Ltd เรามีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีในการพัฒนาแอปพลิเคชัน
- สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้ทั้งในระบบ Android และ ios
- การสร้างฟีเจอร์เฉพาะที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ
- การให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ตั้งแต่การวางแผน การพัฒนา จนถึงการสนับสนุนหลังการขาย
หากคุณกำลังมองหาบริษัทพัฒนาแอพลิเคชันที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส และใส่ใจทุกขั้นตอน ติดต่อเราวันนี้เพื่อเริ่มต้นโครงการที่ตอบโจทย์ต่อธุรกิจของคุณ